Shiny Gold Star

วันพุธที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2557

เวลาเราเจ็บป่วย ในภาษาอังกฤษเราจะพูดกันว่ายังไงน้าาา...ที่มา:DailyEnglish

sickness 
1. ache เอค แปลว่า อาการปวด เป็นการปวดที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่รุนแรงมากนัก สามารถใช้ร่วมกับส่วนอื่นๆของร่างกาย เพื่อแสดงว่าเราปวดตรงส่วนไหน เช่น ปวดหัว (headache) ปวดท้อง (stomachache) หรือถ้าใครเจ็บหัวใจก็ใช้ heartache ก็ได้นะคะ ><
2. acute อะ-คิ้วท์ แปลว่า อาการป่วยที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน โดยทั่วไปแล้วจะใช้คู่กับ illness เป็น acute illness นะคะ แต่สำหรับอาการป่วยเรื้อรังต้องเป็น chronic illness
3. allergy แอล-เล่อ-จี แปลว่า โรคภูมิแพ้ อาการที่เกิดจากโรคภูมิแพ้ คือการมีผื่นคัน (rash) ขึ้นตามตัวนั่นเอง
4. bloody nose บลัดดี้-โนส แปลว่า เลือดกำเดาไหล เรียกสั้นๆว่า nosebleed ได้ค่ะ มักจะเกิดจากจมูกไปกระแทกกับของแข็ง
5. diarrhea ไดอา-เรีย แปลว่า ท้องเสีย สาเหตุมักเกิดจากอาหารเป็นพิษ (food poisoning) หรือไม่ก็เกิดจากภูมิแพ้อาหาร (food allergy)
6. dizzy ดิซ-ซี่ แปลว่า เวียนหัว อาการเวียนศีรษะ สามารถใช้คำว่า headache หรือ light-headed ก็ได้
7. faint เฟ้นท์ แปลว่า เป็นลม นอกจาก faint แล้วยังใช้คำว่า pass out, blackout หรือ lose consciousness (หมดสติ) ได้ เพราะคำเหล่านี้มีความหมายเดียวกันนะ
8. fatigue ฟะ-ทิ้ก แปลว่า ความเหนื่อยล้า สาเหตุหลักเกิดจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ (lack of sleep) และการออกกำลังกายหักโหมเกินไป (excessive physical activity)
9. rash  แร๊ช แปลว่า ผื่นคัน เมื่อมีผื่นขึ้นจะทำให้เกิดอาการคัน (itch) จนเราต้องเกา (scratch) แต่อาจทำให้อาการแย่ลงได้
10. vomit วอ-มิท แปลว่า อาเจียน อาการป่วยจำพวกท้องเสีย หรือวิงเวียนศีรษะอาจทำให้เกิดการอาเจียนออกมาได้
ขอเพิ่มเติมนิดนึงค่ะ phlegm เฟล็ม แปลว่า เสมหะ ไม่ถึงขั้นเป็นอาการป่วย แต่มักจะเกิดขึ้นเมื่อเราเป็นไข้หวัด (flu)
1412770_med
ถ้าเกิดอาการเจ็บป่วยที่ไม่สามารถทานยารักษาเองได้ ทางที่ดีที่สุดคือไปพบแพทย์จะดีกว่านะคะ

มาพบกับประโยคขอแต่งงานสุดหวานแหวว...น่าอิจฉาชะมัดเลยค้าา!!

wedding
เพราะมีความหมายคล้ายๆกันแบบนี้ จึงมักถูกนำไปใช้ผิดอยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะคู่ของ marry กับ marriage ไปดูความหมาย และการนำไปใช้งานของคำศัพท์ 2 ตัวนี้กันเลยครับ
marryแม-รี่
เป็นคำกริยาที่มักใช้ในรูปของ to marry แปลว่า ขอแต่งงาน ใช้ในกรณีที่พูดถึงใครคนหนึ่งได้แต่งงานกับอีกคนหนึ่ง เช่น
John asked Jane to marry him at a luxurious restaurant. จอห์นขอเจนแต่งงานในร้านอาหารหรูแห่งหนึ่ง
นอกจากนี้ยังสามารถใช้ Marry เดี่ยวๆ เพื่อเป็นการขอแต่งงานด้วยนะ เช่น
Sarah, I promise to take care of you for as long as I breathe. Marry me. ซาราห์ ผมสัญญาว่าจะดูแลคุณตราบจนสิ้นลมหายใจ แต่งงานกับผมนะ
marriageแม-เรียจ
คือคำนาม ที่แปลว่า การแต่งงาน/ การสมรส หรือชีวิตคู่ นั่นเองครับ มาดูตัวอย่างประโยคกัน
Mrs. Evans divorced with her husband yesterday. I guess their marriage did not work out. คุณนายอีแวนส์เพิ่งหย่ากับสามีของเธอเมื่อวานนี้เอง ผมว่าชีวิตสมรสของพวกเขาคงไปได้ไม่สวยนัก 
นอกจาก marriage แล้วเรายังสามารถใช้คำหนึ่งแทนได้ด้วย ก็คือคำว่า
wedding - เว็ด-ดิ้ง
คำนี้เป็นคำนามเช่นเดียวกับ marriage ครับ ความหมายคือ การแต่งงานเหมือนกัน แต่มักจะไม่ใช้ในการกล่าวถึงชีวิตคู่ครับ
wedding สามารถนำคำนามมาเติมได้มากมาย เพื่อให้เกิดคำศัพท์ที่มีความหมายใหม่อีกด้วย มาดูตัวอย่างกันเลยครับ
Wedding ring – แหวนแต่งงาน
Wedding ceremony – พิธีแต่งงาน
Wedding gift – ของขวัญวันแต่งงาน
Wedding anniversary – วันครบรอบวันแต่งงาน 
Wedding bouquet – ช่อดอกไม้แต่งงาน
สุดท้ายนี้แอดมินมีคำศัพท์อีก 4 คำที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับการแต่งงานมาให้ดูกัน
marry
engage (verb)แปลว่าการหมั้น ซึ่งเป็นพิธีการสำหรับคู่บ่าวสาวก่อนการแต่งงาน แต่บางครั้งก็ไม่จำเป็นต้องหมั้นก่อนแต่งเสมอไปครับ
bridesmaid – คือเพื่อนเจ้าสาวนั่นเอง อาจมีตั้งแต่ 1-6 คน แต่อาจมีมากกว่า 10 คนก็ได้ ขึ้นอยู่กับขนาดของงานแต่งงานและจำนวนแขก ส่วนใหญ่แล้ว bridesmaid จะต้องเป็นโสดนะครับ แต่ก็ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของตัวเจ้าสาว
groomsmen – ใช่แล้วครับ งานแต่งงานจะขาด เพื่อนเจ้าบ่าวไปได้ไง แน่นอนจำนวนคนและสถานะความโสดก็ขึ้นอยู่กับเจ้าบ่าวครับ แต่การเลือกคนที่มาอยู่ในตำแหน่งนี้ต้องเป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูงทีเดียว เพราะต้องคอยช่วยเจ้าบ่าวจัดการงานแต่งงานให้ราบรื่น ตั้งแต่การดูแลความเรียบร้อยภายในงาน ไปจนถึงการจัดปาร์ตี้สละโสดเลยทีเดียว
best man – คนนี้คือหนึ่งใน Groomsmen แต่สนิทกับเจ้าบ่าวที่สุด โดยทั่วไปแล้วจะเป็นเพื่อนสนิทหรือน้องชาย และเป็นผู้รับหน้าที่สำคัญในการมอบ Wedding ring ให้กับเจ้าบ่าวในช่วงเวลาสำคัญด้วย
ที่มา:DailyEnglish 
        

วันอังคารที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2557

ค่ำคืนนี้มาฟังเพลงจากPitbull - International Love ft. Chris Brown



คืนนี้มาฟังเพลงกันจ้า.......  ฟังแล้วอย่าลืมนำคำศัพท์ที่ไม่รู้ จดบันทึกและนำไปค้นหา หรือถ้าหากไม่รู้จริงๆสามารถเม้นต์มาสอบถามได้นะค่ะ

Pitbull - International Love ft. Chris Brown

แนะนำ 5 เคล็ดลับ…ทำยังไงถึงจะอ่านภาษาอังกฤษให้เก่ง ที่มา:DailyEnglish

     สำหรับ คนไทย การอ่านภาษาอังกฤษต่างๆผ่านสื่อไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ นิตยสาร หรือแม้แต่นิยายภาษาอังกฤษก็ถือเป็นเรื่องยาก และการฝึกอ่านภาษาอังกฤษเป็นสิ่งที่เราพยายามจะหลีกเลี่ยงมาโดยตลอด
ผมเองเมื่อก่อนก็เคยเกลียดสุดๆเลย พวกหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษเนี่ย อ่านไปก็ไม่เข้าใจ จับต้นชนปลายไม่ถูกเลย เพราะปัญหามันอยู่ที่ว่า…ภาษาที่ใช้ในในข่าวเป็นภาษาที่ยากที่สุด เพราะคนเขียนข่าวมักใช้คำสั้นและแรงที่สุด เพื่อดึงดูดความสนใจให้ขายข่าวได้นั่นเอง
จากนั้นผมก็เริ่มถอยหลังมา 1 ก้าว เริ่มต้นจากการอ่านอะไรที่มันง่ายๆนี่แหละ นั่งอ่านนิทานอีสป (Aesop’s Fables) เป็นภาษาอังกฤษพร้อมคำแปล จากนั้นก็เริ่มจับนิยายยอดฮิตอย่าง Harry Potter ขึ้นมาอ่าน แรกๆก็เปิดดิกชันนารี่บ่อยนะ(บ่อยมากๆๆ) แต่อ่านไปเรื่อยๆก็เริ่มชิน แล้วก็พอเดาคำศัพท์จากบริบทได้เอง
ทีนี้ผมมี “หลักการ 5 ข้อในการอ่านภาษาอังกฤษให้เก่ง” มาฝากครับ
readingenglish
1. เลือกอ่านหนังสือเล่มที่อยากอ่านจริงๆเท่านั้น เพราะจะเป็นแรงบันดาลใจให้อ่านได้ต่อ เนื่อง จนเกิดนิสัยรักการอ่านในอนาคต ถ้าเราไปเลือกผิด จับหนังสือที่ไม่สนุก หรือใช้ภาษาที่ซับซ้อนเกินไป ถึงอ่านไปก็ไม่เข้าใจ พาลชวนให้ล้มเลิกความพยายามเสียเปล่าๆ ดังนั้นต้องถามตัวเองก่อนนะว่าเราชอบหนังสือภาษาอังกฤษแนวไหนกันแน่? อาจเป็นการ์ตูนฝรั่ง นิตยสารแฟชั่น หรือแม้แต่นิยายภาษาอังกฤษก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีได้ทั้งนั้น
choosebook
2. ถ้ารู้สึกเบื่อหรือหนังสือยากเกินไป ให้หยุดอ่านแล้วเปลี่ยนเล่มใหม่ทันที แนะนำให้หาเล่มที่อ่านง่ายก่อน เพราะ ดูเหมือนเราจะยังไม่พร้อมที่จะอ่านเล่มยากๆตอนนี้ ถ้าไม่มีสมาธิ อ่านไปเรื่อยๆยังไงก็ไม่ซึมซับครับ สู้อ่านเรื่องที่เราชอบ หรือถนัดดีกว่า พอมีอารมณ์ร่วมไปกับหนังสือภาษาอังกฤษแล้วมันก็จะทำให้เราอ่านได้นานๆจนลืม เวลาไปเลยล่ะ 
เดาศัพท์ภาษาอังกฤษ
3. ฝึกเดาความหมายศัพท์ที่ไม่รู้ โดยพิจารณาจากศัพท์หรือประโยคข้างเคียง ถ้าเดาไม่ออกก็ให้อ่านข้ามไปได้ อย่าไปกลัวว่าจะไม่เข้าใจเนื้อหาทั้งหมดอย่างครบถ้วน เพราะการอ่านหนังสือภาษาอังกฤษเพื่อฝึกภาษาอังกฤษนั้นเน้นทำความเข้าใจเนื้อเรื่องโดยรวม และการเห็นคำศัพท์และโครงสร้างไวยากรณ์ซ้ำๆ บ่อยๆก็จะจำและตีความได้เอง
nodictionary
4. เปิดพจนานุกรมขณะอ่านให้น้อยที่สุด มีงานวิจัยด้านภาษาได้ระบุไว้ว่า นักอ่านที่หยุดอ่านเป็นระยะๆ (slow reader) จะมีกระบวนการเรียนรู้ภาษาช้ากว่าคนที่ฝึกอ่านเร็วๆ (speed reader) ในช่วงแรกอาจต้องพึ่งพาดิกชันนารี่ แต่พอผ่านไปถึงจุดๆหนึ่งก็ต้องพึ่งพาตัวเองแล้วล่ะครับ  จะ ได้ฝึกอ่านภาษาอังกฤษอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น สุดท้ายแล้วมีความรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษอยู่ในหัวก็ยังดีกว่าต้องมาคอยเปิด ดิกชันนารี่หาความหมายทุกคำอยู่ดี
girl-reading
5. อ่านหลายๆรอบ
ยิ่งอ่านซ้ำหลายๆรอบ จะช่วยทำให้เข้าใจเนื้อเรื่องและเพิ่มความสามารถภาษาอังกฤษได้มากขึ้นโดย อัตโนมัติ อ่านไปเถอะครับ ไม่ต้องไปนับว่ากี่ครั้ง จะเป็นสิบ หรือเป็นร้อยรอบแต่ถ้ามันทำให้เราเก่งภาษาอังกฤษ อ่านข่าวภาษาอังกฤษรู้เรื่อง ก็คุ้มค่าแล้วจริงมั้ย?
ถ้าเราจับจุด ถูกต้องหยิบหนังสือที่เราชอบขึ้นมาได้ละก็ เรื่องยากๆก็จะดูเป็นเรื่องสนุกสำหรับเราเลยทีเดียว ลองหาหนังสือภาษาอังกฤษที่ชอบมาอ่านซักเล่มนะครับ แล้วจะรู้ว่าการ ฝึกอ่านภาษาอังกฤษ ไม่ได้ยาก หรือน่าเบื่ออย่างที่คิดเลย เผลอๆอาจทำให้เราเรียนภาษาอังกฤาได้ดีขึ้นด้วย ขอให้ทุกคนสนุกกับการอ่านภาษาอังกฤษนะ
 

คำศัพท์ในห้องนอน ที่มา:DailyEnglish

living room featured 














1. louver ลู-เฟ่อร์ บานเกล็ด ใช้คำว่า blinds ก็ได้ค่ะ
2. cushion คุช-เชิ่น หมอนอิง ใช้วางบนโซฟา นอกจากนี้เรียกว่า pillow ก็ไม่ว่ากันนะ
3. ashtray แอช-เทรย์ ที่เขี่ยบุหรี่
Bookshelf
4. bookshelf บุ่ค-เชลฟ์ ชั้นวางหนังสือ
เรียกอีกอย่างว่า bookcase ได้เช่นกันค่ะ
5. vase วาส แจกัน ส่วนใหญ่จะทำด้วยแก้วซึ่งเป็นวัสดุที่แตกหักง่าย (fragile) แต่ก็ดูดี มีคุณค่า (valuable)
6. drapes เดร๊พส์ ผ้าม่าน หรือที่เราคุ้นหูในชื่อของ curtains นั่นเอง
7. fireplace ไฟเออร์-เพล๊เตาผิง fireplace พบเห็นได้ทั่วไปในห้องรับแขก ต้องใช้ท่อนไม้ (wood) ในการจุดไฟ (kindle)
drapes

เทคนิคที่5

     5. ลองสวมรอยเป็นผู้สัมภาษณ์ซะเอง
เวลาเตรียมตัวสัมภาษณ์งาน คงจะดีไม่น้อยถ้าเราลองคิดจากมุมมองของผู้สัมภาษณ์ดูบ้าง ว่าถ้าเป็นเราเนี่ย เราอยากได้ผู้ร่วมงานแบบไหน เค้ามีความมั่นใจรึเปล่า? ตอบคำถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้มมั้ย หรือเคร่งเครียดจริงจังตลอดเวลา มันจะเป็นเหมือนการทบทวนบุคลิกภาพของตัวเราเองครับ แน่นอนว่าเราอยากได้คนร่วมงานดีๆ ดังนั้นเราก็ควรจะปรับลักษณะท่าทางการวางตัวของเราให้เป็นอย่างที่ผู้สัมภาษณ์พีงต้องการด้วย
               

เทคนิคที่4

     4. มีความกระตือรือร้น เอาจริงๆแล้ว ถ้าเราดันไปสมัครงานที่ “ไม่ใช่” ขึ้นมา การจะสร้างความตื่นเต้น ความอินจัดกับการสัมภาษณ์งานที่กำลังจะเข้ามาถึงนั้นแทบจะไม่มีโอกาสเลย เพราะเราไม่ได้ต้องการมันจริงๆ ผมเคยมีประสบการณ์ไปสัมภาษณ์งานมาบ้าง ผมก็คิดว่าเตรียมตัวไปดีนะ แต่พอไปเข้าห้องสัมภาษณ์จริงๆกลับไม่สามารถตอบคำถามได้อย่างสนิทใจ คิดว่ายังไงถ้าเผื่อได้งานนี้จริงๆมันก็คงไม่ใช่ตัวเรา ดังนั้นขอแนะนำเลยว่าถ้ามีโอกาส ก็ให้เลือกงานที่เราสนใจให้มากที่สุด แล้วความกระตือรือร้นมันก็จะมาเอง

เทคนิคที่3

    3. หาข้อมูลที่จำเป็นให้หมด การหาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต นับเป็นแหล่วงข้อมูลชั้นเยี่ยมที่รวบรวมรายละเอียดเกี่ยวกับแผน หรือแนวปฏิบัติของบริษัทที่เราสมัคร เราควรเก็บข้อมูลของบริษัทให้หมด ในหลายๆด้าน เช่น ฐานเงินเดือนของตำแหน่งที่เราสมัครงาน สินค้าบริการของบริษัท วัฒนธรรมองค์กรเป็นยังไง จะได้เห็นภาพคร่าวๆว่าบรืษัทเป็นอย่างไร

เทคนิคที่2

   2. ต้องรู้ลักษณะการสัมภาษณ์งาน
สมัยก่อนการสัมภาษณ์งานจะมีรูปแบบที่ค่อนข้างจะตายตัว คือซักถามประวัติคร่าวๆ แล้วก็มีคำถามสุดฮิตอย่างเช่นจุดอ่อน จุดแข็งของเรา แต่สมัยนี้ผู้ว่าจ้างมักจะสัมภาษณ์งานในลักษณะของการทดสอบไหวพริบครับ เช่น อาจมีการยกสถานการณ์จำลองขึ้นมาให้เราแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ผู้สัมภาษณ์ต้องการดูมุมมองความคิดของเรามากกว่าที่จะให้ตอบตามตำราเป๊ะๆ นอกจากนี้ควรเตรียมตัวพร้อมรับการสัมภาษณ์ทุกรูปแบบ บางที่ก็มีคนสัมภาษณ์ถึง 5 คน บางที่ก็สัมภาษณ์งานแบบตัวต่อตัว แต่กินเวลาเป็นครึ่งชั่วโมงก็มี

    

5 เทคนิคการสัมภาษณ์งาน…เตรียมพร้อมก่อนได้เปรียบ ที่มา:DailyEnglish

        เทคนิคการสัมภาษณ์งาน…เป็น สิ่งสำคัญที่เราต้องรู้ เพราะว่าสมัยนี้บริษัทต่างๆมีการแข่งขันสูงขึ้นมาก มาตรฐานของผู้สมัครงานก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย ดังนั้นถ้าเราไม่เตรียมตัวสัมภาษณ์งานให้ดีๆ มีหวังล้มเหลวเอาได้ง่ายๆ
เมื่อเราได้รับแจ้งให้เข้าไปสัมภาษณ์ งาน แน่นอนว่าโอกาสมาถึงตัวเราแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็คือการกล้าแสดงออกในการนำเสนอตนเองให้น่าสนใจในการสัมภาษณ์ งาน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการสร้างความประทับใจแรกพบ (first impression) ให้แก่ผู้สัมภาษณ์ครับ 
จากนี้ไปจะเป็นเทคนิคในการสัมภาษณ์งานที่เราควรจะรู้ไว้ก่อนเข้าสนามจริง
เทคนิคการสัมภาษณ์งาน
เทคนิคการสัมภาษณ์งาน
1. สร้างความมั่นใจให้ตนเองก่อน
ถ้าเราเครียดก่อนการสัมภาษณ์งาน การเตรียมตัวล่วงหน้าจะช่วยให้เราสร้างความมั่นใจให้มากขึ้น… ดังนั้นตรวจสอบให้หมดว่าเอกสารที่เราต้องใช้มีครบหรือไม่ ทั้ง เตรียม resume ใบสมัครงาน ใบประกาศ เกียรติบัตรรางวัลต่างๆเช็คให้ละเอียด จากนั้นจึงเริ่มฝึกซ้อมการสัมภาษณ์งานโดยการเตรียมพร้อมกับคำถามต่างๆ และวิธีการตอบที่เหมาะสมและเป็นตัวเรามากที่สุด

และสุดท้าย

    
     College students
3. แนะนำตัวภาษาอังกฤษเมื่อพูดคุยกับชาวต่างชาติ
สำหรับการพูดคุยทั่วไปแบบนี้ ไม่มีรูปแบบตายตัวครับ ถ้าไม่รู้จักกันมาก่อนหลักๆคือการบอกชื่อเล่น จากนั้นอยากพูดอะไรก็พูดเล้ย แต่ถ้าเป็นเพื่อนที่รู้จักกันก็ไม่ต้องมีพิธีการอะไรมากมาย เช่น
  • เพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอมานาน 
    Katie! It’s been ages since last met! Let’s have lunch together, we have a lot of catching up to do.
    (โอ้ว เคธี่ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ! ไปกินข้าวกันเถอะ มีเรื่องต้องเมาท์เยอะแยะเลย) 
  • เพื่อนสนิท
    What’s up, dude. Are you free today? Come play soccer with us.
    (ไงเพื่อน วันนี้ว่างป่าว ไปเตะบอลกัน) 
  • คนที่เพิ่งรู้จักกัน
    Hi, how are you. I’m Mike, your buddy in this exchange program. It’s nice to meet you.
    (หวัดดีเพื่อน เราชื่อไมค์ เป็นบัดดี้ของนายระหว่างที่มาแลกเปลี่ยนที่นี่ ยินดีที่ได้รู้จักนะ)
ประโยคง่ายๆไว้แนะนำตัวภาษาอังกฤษ
สุดท้ายนี้เป็นแนวทางเบื้องต้นในการ แนะนำตัวภาษาอังกฤษครับ ถ้าเลือกใช้ให้เหมาะกับสถานการณ์ก็จะรู้เลยว่าการแนะนำตัวเองเป็นภาษาอังกฤษ เป็นเรื่องง่ายมาก ผมขอแบ่งเป็น 3 ขั้นตอนแล้วกันนะครับ
Hi! My name is…(ชื่อ)…
Hi! I’m …(ชื่อ)…
I am …(ชื่อ)…
Hey, everyone. My name is …(ชื่อ)… You can call me …(ชื่อเล่น)…
Let me introduce myself. I’m …(ชื่อ)…
How do you do?
How are you doing?
How’s everything?
It’s nice to meet you.
It’s a pleasure to meet you.
Glad to meet you.
It’s an honor to meet you.
Happy to be your friend.
Hope to see you again.
Tips: ระหว่าง พูดคุยกันอย่าลืมสบตาด้วยนะครับ ที่สำคัญต้องยิ้มด้วย คงไม่มีใครอยากพูดกับคนหน้าบึ้งตึงหรอกจริงมั้ย สุดท้ายถ้าเป็นทางการหน่อยก็ปิดท้ายด้วยการจับมือ (shake hand) นะครับ

ต่อมาจากโพสที่แล้วนะค่ะ



introduce
2. แนะนำตัวภาษาอังกฤษเพื่อสมัครงาน
การแนะนำตัวลักษณะนี้จะ advance ขึ้นมาอีกระดับ สิ่งสำคัญคือ First impression ครับ ต้องทำให้ผู้สัมภาษณ์เราประทับใจให้ได้ หากเราแต่งกายดูดี มีความมั่นใจและรู้ว่าต้องไปพูดอะไร ก็มีโอกาสที่เราจะได้งานสูงทีเดียว
วิธีรับมือคำถามสุดฮิต “Tell me about yourself.” นายจ้างต้องการรู้ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับตัวเรา ทั้งชื่อ ระดับการศึกษา ประสบการณ์ งานอดิเรก ครอบครัว นิสัยส่วนตัว และที่สำคัญคือระดับภาษาอังกฤษของเรานั่นเอง ดังนั้นใครมีความสามารถ จัดเต็มไปไม่ต้องกั๊กครับ ไม่งั้นเดี๋ยวจะมาเสียดายภายหลังนะบอกไว้ก่อน
หากต้องแนะนำตัวภาษาอังกฤษกับกรรมการหลายคน ในบรรยากาศที่แสนจะกดดัน เราต้องตอบรับด้วยความเป็นมืออาชีพครับ 
  • Good afternoon. First of all, thank you for giving me this opportunity and it is a great pleasure to meet you all. My name is Watson Smith and I have completed my Bachelor’s Degree in Marketing from Rajabhat University. I have two years experience as a marketing officer. My hobby is playing basketball and reading magazines. About my family, my father is a retired accountant and my mother owns a beauty salon. I have a brother, and he’s still studying in university.
  • (สวัสดีครับ ก่อนอื่นขอขอบคุณที่ให้โอกาสผมในครั้งนี้ ยินดีที่ได้รู้จักทุกท่านครับ ผมชื่อวัตสัน สมิธ และจบการศึกษาทางการตลาดจากมหาวิทยาลัยราชภัฎ ผมมีประสบการณ์ทำงาน 2 ปีในฐานะเจ้าหน้าที่การตลาด ผมชอบเล่นบาสเกตบอล และอ่านหนังสือแม็กกาซีน ส่วนเรื่องครอบครัว พ่อของผมเกษียณจากอาชีพนักบัญชี และแม่ของผมทำร้านเสริมสวยครับ ผมมีน้องชาย 1 คนแต่ตอนนี้เขากำลังเรียนอยู่ครับ)

เจาะลึก! วิธีแนะนำตัวภาษาอังกฤษแบบง่ายๆในทุกสถานการณ์ เครดิต.DailyEnglish

     ดูเหมือนว่าสมัยนี้ไม่ว่าเราจะไปทำกิจกรรมอะไรเกี่ยวกับภาษาอังกฤษ การแนะนำตัวเป็นภาษาอังกฤษ เป็นสิ่งที่เราต้องพบเจออย่างเลี่ยงไม่ได้ ยกตัวอย่างนะครับ เวลานำเสนองานวิชาภาษาอังกฤษหน้าชั้นเรียนก็ต้องพูดแล้ว จะพูดคุยกับฝรั่งที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนก็ต้องแนะนำตัวภาษาอังกฤษ หรือแม้แต่ตอนสัมภาษณ์งานก็ต้องมีเทคนิคในการแนะนำตัวเองเป็นภาษาอังกฤษให้ ผู้ว่าจ้างประทับใจให้ได้
วันนี้เรามีเทคนิคในการแนะนำตัวเป็น ภาษาอังกฤษมาฝากครับ ซึ่งแต่ละแบบก็จะมีวิธีแตกต่างกันไป ก่อนอื่นต้องถามตัวเองว่า เรากำลังจะแนะนำตัวภาษาอังกฤษในสถานการณ์ไหนกันแน่ เอาล่ะมาดูกันเลย..........................
     
1. แนะนำตัวภาษาอังกฤษตอนนำเสนองานในห้องเรียน
ถึงแม้เพื่อนๆในห้องจะรู้จักเราเป็น อย่างดี แต่เราไม่ควรมองข้ามการแนะนำตัวนะ คิดซะว่าเป็นการขัดเกลาฝีมือการแนะนำตัวเป็นภาษาอังกฤษของเราเองแล้วกัน อย่าลืมว่าถ้าเราไม่จริงจังตั้งแต่แรก ก็คงไม่มีใครตั้งใจฟังการนำเสนองานของเราแน่นอน
  • แนะนำตัวก่อนเราเป็นใคร – ขั้นแรกให้บอกชื่อ-นามสกุลตัวเองให้เรียบร้อย แต่ในบางกรณีไม่ต้องบอกนามสกุลก็ได้ เช่น Good morning everyone. My name is Jason Green. (สวัสดีครับเพื่อนๆ ผมชื่อเจสัน กรีน)
  • เป็นตัวแทนจากกลุ่มก็บอกเลย – กรณีนำเสนองานกลุ่มก็ให้บอกเพื่อนๆครับว่าเราเป็นตัวแทน เช่น I’m representing group 4. (ผมเป็นตัวแทนจากกลุ่ม 4)
  • หัวข้อที่จะพูด – สุดท้ายก็เปิดการนำเสนอด้วยการบอกหัวข้อเรื่องที่เราจะพูด Today, I’m going to discuss the life and achievements of Nelson Mandela. (วันนี้ผมจะมาเล่าเรื่องชีวิตและความสำเร็จของเนลสัน แมนเดลา)
แต่ถ้าเราไม่ได้นำเสนองาน แค่แนะนำตัวเฉยๆ ก็สามารถบอกชื่อ และประวัติคร่าวๆของเราได้เลย เช่น
Good morning. My name is Suppachai. My nickname is King. I am studying at … school, in grade 7. I live in Bangkok. I live with my parents. I have 1 older brother. My favorite sport is badminton. I like to read books in my free time.
(สวัสดีครับ ผมชื่อศุภชัย ชื่อเล่นชื่อคิง ผมเรียนอยู่ที่โรงเรียน… อยู่ชั้นม.1 ครับ ผมอยู่ที่กรุงเทพO อาศัยอยู่กับพ่อแม่ ผมมีพี่ชายอยู่คนนึง ผมชอบเล่นแบดมินตัน และในเวลาว่างผมชอบอ่านหนังสือครับ)

P.S. การแนะนำตัวลักษณะนี้มักจะใช้ในระดับประถมศึกษาหรือมัธยมต้นนะจ๊ะ สำหรับเด็กม.ปลายหรือสูงกว่านี้ควรเพิ่มคำศัพท์ที่น่าสนใจ ประโยคที่ฟังลื่นหู หรือเพิ่มข้อมูลเกี่ยวกับตัวเองเข้าไปด้วยล่ะ เช่น
Good morning, everyone. My name is Wittawat, or you can just call me Dew. I love to read comics, which is why I have a good sense of humor. I also like to go outside on weekends, especially to the theaters. I’m an extrovert person and I love to go to parties. It’s nice to meet all of you.
(สวัสดีครับ ผมชื่อวิทธวัช หรือเรียกผมว่าดิวก็ได้ ผมชอบอ่านการ์ตูนนะ ทำให้ผมเป็นคนมีอารมณ์ขัน วันเสาร์อาทิตย์ผมมักจะออกไปดูหนัง ผมเป็นคนที่เปิดเผยและชอบงานปาร์ตี้มากเลย ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนครับ)

Maroon 5 - One More Night



++++++++++++++++++++++++++++++++++++

 เป็นเพลงภาษาอังกฤษที่ได้ทั้งความรู้และเพลิดเพลินจริงๆเลยค่ะ

วันนี้มาพบกับเพลงของTaylor Swift - Redเพราะฝุดๆเบยย

วันจันทร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ร่างกายของฉันนนน-3-

วันนี้เรามารู้จักคำศัพท์ต่างๆในร่างกายของเราเอง
บางคำเป็นคำที่้เรารู้แล้ว แต่เอ๊ะ!!บางคำมันพูดว่ายังไงกันนะ
วันนี้แพรรี่มีมาฝากนะคะ หวังว่าทุกท่านคงจะมีความรู้เพิ่มเติมกับบล็อกนี้นะค่ะ
ขอขอบคุณ:wwwfamilyweeked.com

วันเสาร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ภาษาลาวววว.....ฟิ้วววว

บทความนี่ เพื่อความสนุกในคำศัพท์ หาได้มีเจตนากับการดูถูกชนชาติลาวแต่อย่างใด

ร้านขายของ (ไทย) = ร้านขายประเวณี (ลาว)

กระดาษทิชชู่ (ไทย) = ผ้าอนามัย (ลาว)

ถุงยางอนามัย (ไทย) = เสื้อกันฝนตัวน้อย (ลาว)

ถุงยาง (ไทย) = ถุงพลาสติก (ลาว) เที่ยวลาวจงจำให้ขึ้นใจ เจอคนค้าประเวณี น้อง-พี่อย่าเรียกหา "ถุงพลาสติค" (ฮา)

ถุงเท้า (ไทย) = ลองเท้า (ลาว)

รองเท้า (ไทย) = เกิบ (ลาว)

รองเท้าฟุตบอล (ไทย) หรือ สตั๊ด (อังกฤษ) = เกิบมีตุ่ม (ลาว) เช่น ข้อยบ่ย่าน แม้ว่านักเตะไทย จะใส่เกิบมีตุ่มลงแข่ง (ฮา)
ขอขอบคุณ:www.dek-d.com

วันศุกร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2557

แนะนำตัวกันหน่อยยย..


                            สวัสดีค่ะ อันนี้เป็นบล็อกของหนูเองงง....หนุไหนอะ แห้ะๆ-3-
                    ชื่อ นนธิชา  เปรมรัตน์ ชื่อเล่นชื่อแพรนะค่ะ กำลังศึกษาอยู่ม.5 สายจีน-อังกฤษคะ
            โรงเรียน นวมินทราชินูทิศ สตรีวิทยา๒  บล็อกนี้ให้ความบันเทิงและความรู้ต่างๆเกี่ยวกับภาษา
 หวังว่าทุกคนจะมีความสุขไปกับบล็อกนี้นะคะ